ย่ำยามเย็นของทุกวัน ณ ท้องสนามหลวง หลังเวทีของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะปรากฏร่างผู้ชายในวัยชราแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีขาวทั้งชุด นั่งรถเข็นอย่างนิ่งสงบเปี่ยมด้วยสมาธิในการเพ่งมองดูจอทีวีที่วางไว้เพื่อถ่ายทอดภาพและเสียงของการไฮด์ปาร์กและดนตรีบนเวที และจะนั่งอย่างนั้นไปจนกิจกรรมต่างๆ สิ้นสุดลงไปในแต่ละวัน ไม่ว่าเวลาไหนก็ตามตลอด 9 คืนเต็ม ก่อนที่ประชาชนทั้งหมดเกือบสองแสนคนจะเคลื่อนย้ายมาปักหลักที่หน้าทำเนียบรัฐบาล
ผาดเผินภายนอกดูเหมือนเป็นผู้อาวุโสที่ไม่น่าสนใจ เพียงมาให้กำลังใจและสนับสนุนการกู้ชาติเพื่อไล่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรออกไปเพียงเท่านั้น
แต่เมื่อทำความรู้จักก็รู้ว่า ผู้ชายสูงวัยคนนี้ไม่ธรรมดา เขาคือ 1 ใน 13 ขบถรัฐธรรมนูญ ที่ถูกจับกุมจนเป็นชนวนร้อนแรงสู่เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 วันมหาประชาธิปไตย ประพันธ์ศักดิ์ กมลเพ็ชร อดีตอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ และอดีตนักการเมืองแห่งขบวนการรัฐบุรุษ แม้ในระยะหลังๆ บทบาทต่างๆ ของพลังที่ขับเคลื่อนในเชิงสังคม-การเมืองจะลดทอนจนแทบจะหายเงียบไปจากสังคมไทย
แต่วันนี้เขายังมีอุดมคติเชิงประชาธิปไตยที่งดงามอยู่อย่างมิยอมเปลี่ยนแปลง
* สังขารร่วงโรย แต่ใจไม่เคยท้อ
"ผมมาทุกคืน ถ้ามีธุระจำเป็นก็ไปทำให้เสร็จแล้วก็มาที่นี่ มาโดยแท็กซี่จากบ้านที่อยู่ซอยเจริญนคร 26มาที่นี่ก็มีคนช่วยมีแต่มิตรไมตรี มั่นใจว่าการต่อสู้ในคราวนี้จะเป็นวันแห่งชัยชนะของมวลมหาประชาชนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อยากเห็นคนทุกเพศทุกวัยสนใจกระตือรือร้นต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เข้ามามีส่วนร่วมอย่างมีเหตุมีผลอย่างชอบธรรม คิดทำแต่สิ่งที่ดีงามในการที่มาร่วมกันชุมนุม ตั้งใจให้เกิดปรากฏการณ์ที่ทำให้ประเทศของเราเป็นตัวอย่างอันดีของโลกมนุษย์" ประพันธ์ศักดิ์กล่าวถึงความตั้งใจที่จะอยู่ในขบวนพลังประชาชนครั้งประวัติศาสตร์อีกครั้ง พร้อมกล่าวต่อว่า
"ผมต่อสู้ยาวนานก็ไม่รู้สึกทดท้อ ขณะนี้มีความรู้สึกว่า กำลังทางกายภาพอาจจะลดลง แต่ว่าจิตใจยังเป็นหนึ่ง ผมอยากเห็นสังคมไทยเป็นสังคมตัวอย่างในแนวทางประชาธิปไตยที่ดีที่สุดในโลก"
ด้วยสายตาที่ผ่านประสบการณ์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมายาวนาน เขามั่นใจว่าความเป็นประชาธิปไตยของเมืองไทยดีขึ้นเรื่อยๆ ประชาชนมีความเข้มแข็งมีคุณภาพมากขึ้น จะนำไปสู่ความสมบูรณ์แบบมากขึ้นในอนาคต
"ไทยอาจจะก้าวขึ้นเป็นประเทศประชาธิปไตยตัวอย่างของโลกเลยก็ว่าได้ มันจะพัฒนาไปสู่จุดนั้นถ้าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรลาออก เพราะว่าเขาเป็นปัจจัยขัดขวางพัฒนาการประชาธิปไตยของประชาชน และของประเทศชาติ ระบบทักษิณเป็นระบบเผด็จการรวบยอด สุดยอดของความเลวร้าย สุดยอดของเผด็จการ สุดยอดของทรราชไม่มีใครเลวกว่านี้อีกแล้ว แล้วก็ไม่มีระบบไหนที่เลวเท่านี้ เพราะฉะนั้น ระบบนี้จะตั้งอยู่ไม่ได้ ทักษิณจะอยู่ไม่ได้ เพราะเป็นศูนย์รวมของความเลว เป็นเรื่องสำคัญที่คนไทยทุกคนจะต้องลุกขึ้นสู้ จะต้องเอาชนะให้ได้ หากล้มระบบนี้ได้ประเทศไทยจะไปลิ่วเลย"
ประพันธ์ศักดิ์ เชื่อว่าการชุมนุมกู้ชาติขับไล่ทักษิณครั้งนี้จะไม่มีความรุนแรง เพราะว่าบุคคลที่ผ่านประสบการณ์ความรุนแรงมาแล้วในอดีต มีความสำนึกผิดจึงไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง ดึงตัวออกห่างจากการชุมนุม
"หลายๆ คนหันมาสนับสนุนการชุมนุม ทุกคนมีเจตนารมณ์ร่วมที่จะไม่ให้เกิดความรุนแรง เป็นนิมิตหมายใหม่ของคนทั้งชาติ แม้กระทั่งทักษิณก็ไม่กล้าใช้ความรุนแรง ที่สำคัญคือทักษิณหลุดจากขั้วอำนาจแล้ว ไม่สามารถสั่งทหารตำรวจ และกลไกของรัฐได้ ก็เล่นงิ้วเล่นปาหี่ไปวันๆ เช่น ไปสัมผัสนักการเมืองคนนั้นคนนี้เพื่อทำให้เกิดข่าว จัดปราศรัยต่างๆ เพื่อเป็นการแก้เกี้ยวแก้ขวยไปเฉพาะหน้า ความจริงไม่มีอำนาจหลงเหลืออยู่เลยทั้งนิตินัยและพฤตินัย ที่เป็นอยู่เป็นการเล่นละคร ตั้งแต่ไปเรียลิตี้ที่อำเภออาจสามารถแล้ว ทักษิณแสดงเป็นผู้ร้ายและเป็นผู้ร้ายตัวจริง"
ประพันธ์ศักดิ์ บอกว่าในช่วงเวลานี้ เขารู้สึกอิ่มทิพย์ มีความสุขกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รู้สึกว่าทุกอย่างได้พัฒนาไปตามครรลองที่เหมาะสม เป็นไปได้ที่ประชาชนจะมารวมตัวกันโดยธรรมชาติ โดยสมัครใจในคราวนี้เป็นล้านคน มุ่งหวังที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นทุกมิติ เพราะในเรื่องประชาธิปไตยมีหลายมิติมาก แล้วจะครบถ้วนทุกมิติ
"ขณะนี้คนที่มาชุมนุมที่สนามหลวงหรือที่ทำเนียบรัฐบาลไม่ใช่ม็อบ (Mob) แต่เป็นแมส ปาร์ทิซิเพชัน (Mass Participation) ก้าวผ่านคำว่าม็อบไปแล้ว เพราะม็อบเป็นความหมายเชิงเนกาทีฟหรือในทางลบ หมายถึงฝูงชนที่อาจจะถูกชักนำไปในทางที่ผิด ไปทำความเสียหายให้กับสถานที่ราชการหรือไปโจมตีบุคคลโดยใช้ความรุนแรง แต่ที่มาชุมนุมครั้งนี้ไม่ใช่ การที่มีประชาชนหรือมหาชนเข้ามาเกี่ยวข้องจำนวนมากมายและหลากหลายมิติ มองดูจะเห็นว่าสวยงาม"
* วาดหวังถึงประชาธิปไตยที่ดีงาม
ปัจจุบันประพันธ์ศักดิ์ วางตัวเองเป็นผู้นำคณะปฏิวัติประชาธิปไตยแห่งชาติ และประธานสภาประชาชนสนามหลวง ภายใต้ธงนำที่กล่าวว่า'อำนาจรัฐเป็นของราษฎรโดยทั่วไป อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยทั่วราชอาณาจักร'
"ผมเคยตั้งพรรคการเมืองหลายพรรค พรรคแรกชื่อ พรรคไทยธิปัตย์ แล้วก็พรรครัฐบุรุษ, พรรคมหาชน ส่วนพรรคสยามประชาธิปไตยมีคนมาเชิญให้ไปนั่งเป็นหัวหน้าพรรค เป็นผู้ก่อตั้งและเขียนนโยบายให้พรรคราษฎร พรรคการเมืองในปัจจุบันนี้ไม่เป็นโล้เป็นพาย เข้าไม่ถึงอุดมการณ์ พรรคประชาธิปัตย์มีฐานะเป็นเพียงพรรคการเมืองที่เลวน้อยที่สุดตามทฤษฎีของสมาชิกพรรค ส่วนพรรคอื่นๆ ยิ่งไปกันใหญ่ พรรคไทยรักไทยไม่ต้องพูดถึง
"ถ้าจะให้ดีต้องเลิกทาสการเมือง ยกเลิกพระราชบัญญัติพรรคการเมือง แต่ให้พรรคการเมืองเกิดขึ้น มีวิวัฒนาการเติบโตไปตามธรรมชาติของมัน โดยไม่ต้องมีพระราชบัญญัติพรรคการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ประสงค์ลงรับสมัครเลือกตั้งไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรค ใครอยากสังกัดพรรคก็ต้องไปพูดหรือโฆษณาเอาเองว่า พรรคคุณดีอย่างไร โดยไม่ต้องมีกฎหมายรองรับ ต้องไปให้ถึงจุดนั้น ตรงนี้เป็นส่วนสำคัญของการปฏิวัติประชาธิปไตย"
ประพันธ์ศักดิ์ วิเคราะห์ภาพกว้างของพัฒนาการประชาธิปไตยที่กำลังดำเนินไปในเมืองไทยว่า แม้ดีกรีความเป็นประชาธิปไตยเราอาจจะน้อยกว่าสหรัฐอเมริกา แต่ในอนาคตเราจะมีความเป็นประชาธิปไตยมากกว่า
"หมายถึงเรามีโอกาสเป็นประชาธิปไตยเต็มร้อยสูงกว่าอเมริกา มีหลายเหตุหลายเงื่อนไข คือสังคมไทยมีความพิเศษมีอัจฉริยะในตัวเอง เป็นเอกลักษณ์ของชนชาติไทย สามารถพัฒนาสู่ความเป็นเลิศได้ ซึ่งสามารถเป็นประเทศประชาธิปไตยเป็นตัวอย่างของโลกได้แน่นอน แต่ว่าเราต้องดูแลทิศทางให้ดี ให้เดินทางไปสู่ทิศทางที่ถูกต้องเหมาะสม ให้มีลักษณะที่เดินขึ้นสู่ที่สูง เดินไปหาอุดมการณ์
"ระบบทุนนิยมในโลกปัจจุบันนี้ เมืองไทยไม่เป็นรองใคร เป็นประเทศโคตรทุน แต่ว่าเวลามันพลิกกลับจะเป็นระบบทุนที่มีคุณธรรมสูงกว่า เรามีพื้นฐานทางพุทธศาสนา แล้วก็เรามีสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีรากลึกมาก ความเป็นชาติก็ลึกในแง่ความเป็นชาติที่เก่าแก่ชาติหนึ่ง มีรากฐานอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิมีอายุยาวนาน"
* 'สภาราษฎร'
องค์กรในฝันของการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนที่เป็นอุดมคติสูงสุดของประพันธ์ศักดิ์ ก็คือ 'สภาราษฎร'
"ในแนวความคิดของผมเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งมาก เป็นอุดมการณ์ประชาธิปไตยสูงสุด ทำให้เกิดความเป็นจริงอย่างเป็นรูปธรรมได้ 'สภาราษฎร' คือสถาบันอันเป็นรากแก้วของประชาธิปไตย ต้องมีขึ้นทุกหมู่บ้านและชุมชน ทุกคนเป็นสมาชิกสภาราษฎรได้ในแต่ละหมู่บ้านชุมชน ไม่ว่า เด็กทารกจนถึงผู้สูงอายุล้วนเป็นสมาชิกสภาราษฎรเสมอกัน มีเสรีภาพและเสมอภาคบริบูรณ์ ความยุติธรรมและเสถียรภาพก็เกิด ระบบนี้เป็นประชาธิปไตยบริสุทธิ์ เป็นสถาบันประชาธิปไตยระดับรากแก้ว
"ปกติตามหมู่บ้านตามชุมชนจะมีสถาบันครอบครัว และจะมีสภาราษฎรซึ่งจะปฏิวัติประชาธิปไตยในประเทศไทยทำในบรรยากาศที่สันติ ในอนาคตเราต้องออกกฎหมายมีพระราชบัญญัติสภาราษฎร การมีสภาราษฎรเป็นสุดยอดของระบอบประชาธิปไตย จะเห็นผลในลักษณะที่เขาเรียกว่า บานเหมือนดอกบัวที่บานสะพรั่งพร้อมกันทั้งสระ หมายความเกิดสภาราษฎรพร้อมกันทั้งหมู่บ้านและชุมชน เอาเป็นว่า ถ้าทักษิณไปเมื่อใด ระบบนี้จะเบ่งบานทั่วประเทศ"
ประพันธ์ศักดิ์ ย้ำว่า การชุมนุมกู้ชาติให้ปฏิรูปการเมืองครั้งนี้ มีความลึกซึ้งกว่าเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 เพราะการต่อสู้ครั้งนั้นเป็นปรากฏการณ์เบื้องต้นที่ได้มาซึ่งเสรีภาพ แต่ยังไม่ได้ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ยังไม่มีสถาบันประชาธิปไตยที่เป็นหลักฐานมั่นคง
"แต่หลังจากไล่ทักษิณจะพัฒนาไปสู่การจัดตั้งสถาบันประชาธิปไตย ผ่านสภาประชาชนสนามหลวง ขณะนี้สนามหลวงทั้งสนามเปิดสภาประชาชน ทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องไม่ใช่เพราะปรากฏการณ์บนเวที แต่ละคนนั่งคุย เสวนากัน เป็นธรรมชาติของประชาธิปไตย จับวงคุยปรึกษาหารือกัน สนามหลวงทั้งสนามที่เป็นอยู่เขาเรียก สภาประชาชนเต็มรูปแบบ เป็นความงดงามศิวิไลซ์อย่างยิ่ง โดยนัยทางการเมืองหมายถึงประชาชนยึดอำนาจรัฐได้แล้ว หมายถึงประชาชนมีอำนาจแล้วสามารถแสดงอำนาจในเรื่องต่างๆ ในอนาคต
"สภาประชาชนสนามหลวงจะเป็นเสมือนหนึ่งสภามติมหาชนประชาธิปไตย ซึ่งเป็นสถาบันหนึ่ง ส่วนสภาราษฎรเป็นสภาประชาธิปไตยในระดับรากแก้วคือมีในทุกหมู่บ้านและชุมชน ก็สอดคล้องกันมีลักษณะเป็นสถาบันทั้งคู่"
จากแนวคิดเรื่องความงอกงามของประชาธิปไตยที่งดงามของประพันธ์ศักดิ์ แสดงให้เห็นถึงความเป็นนักฝันในอุดมคติประชาธิปไตยที่เต็มไปด้วยแรงเร้าจากสถานการณ์ของบ้านที่กำลังต่อสู้เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ระบบที่ดีกว่า แม้การต่อสู้เพื่อกู้ชาติและไล่ทักษิณยังมีต่อที่หน้าทำเนียบรัฐบาล
ประพันธ์ศักดิ์ ก็จะอยู่เคียงข้างตราบเท่ายังไม่สิ้นลมหายใจ ก็ยังสู้ต่อไปอย่างไม่มีสิ้นสุดกับหัวใจที่เข้มแข็งของเขา
********
เรื่อง - พรเทพ เฮง
credit: Manager On-line
Leave a Reply